ประวัติวัดท่าเกวียน
วัดท่าเกวียนเดิมตั้งอยู่ทางฝั่งแม่น้ำแห่งหนึ่ง มีต้นน้ำลำธารตั้งอยู่ในป่าเขตระหว่างอำเภอดอยสะเก็ดและอำเภอสันทรายติดต่อกันไหลผ่านจากหมู่บ้านหลายหมู่บ้านในเขตตำบลเมืองเล็น และตำบลป่าไผ่ มาผ่านตำบลหนองจ๊อมลงไปสู่แม่น้ำคาว แม่น้ำนี้เป็นแม่น้ำสายใหญ่และลึกมากอีกสายหนึ่งในเขตตำบลหนองจ๊อมเรียกแม่น้ำนี้ว่า น้ำแม่แก๊ด ซึ่งเป็นตอนปลายลงมาจะมีทางผ่านได้แค่เพียงด่านเดียวอยู่ที่ริมวัดนี้. สำหรับคนที่จะเดินข้ามไปมาจะใช้ไม้พาดเป็นขัวหรือสะพานเพื่อเดินข้ามภายหลังมีน้ำป่าไหลบ่าท่วมอยู่เป็นประจำ ชาวบ้ายได้อพยพหนีน้ำขึ้นมาอยู่บริเวณที่ท่วมไม่ถึง วัดสมัยนั้นมีตุ๊เจ๊าโพธิและตุ๊เจ้าโพธา ได้แยกย้ายจากวัดเดิมขึ้นไปตามศรัทธา วัดสันป่าสักมีตุ๊เจ๊าโพธาแยกวัดไปตั้งอยู่บนสันที่ศรัทธาญาติโยมไปตั้งอยู่สันนั้นมีไม้สักเป็นจำนวนมากจึงเรียกนามวัดและบ้านนี้ว่า วัดสันป่าสัก และบ้านสันป่าสักตราบเท่าทุกวันนี้ ส่วนวัดท่าเกวียนมีตุ๊เจ้าโพธิ์ ได้ย้ายขึ้นเหนือไม่ไกลนักจึงเอานามนี้มาเรียกว่า วัดท่าเกวียนตลอดจนถึงปัจจุบัน วัดท่าเกวียน วัดสันป่าสัก จึงอยู่ไม่ไกลจากฝั่งแม่น้ำแก๊ดนี่มากนัก ถือเป็นวัดพี่น้องกัน วัดเดิมแห่งนี้ยังมีร่องรอยให้เห็นอยู่ก็คือ ต้นไม้ศรีมหาโพธิ์ใหญ่ต้นหนึ่ง และฐานสิ่งก่อสร้างอยู่และเชื่อว่านี่คือฐานวิหารเดิม วัดท่าเกวียนปัจจุบันมีต้นไม้เก่าแก่ที่ตุ๊เจ้าโพธิ์ปลูกไว้หลายอย่าง เช่นไม้ยาน ไม้ลุง ไม้ตาล ไม้ลาน และไม้ศรีมหาโพธิ์ ที่ท่านได้ปลูกไว้และได้สาปแช่งไว้ว่า บุคคลใดที่มาทำลายหรือตัดฟันขอให้มันวินาศ ฉิบหายและมีอันเป็นไปต่างๆ. ปัจจุบันต้นไม้นี้ก็ยังมีให้เห็นอยู่ บางต้นก็แก่ตายไปเอง หักล้มไปเอง  ต้นไม้ที่ท่านได้สาปแช่งไว้นี้ ศักดิ์สิทธิ์มากตามที่ข้าพเจ้าได้ประสพมาด้วยตนเอง คือมีอยู่ครั้งหนึ่งมีนาย สิงห์แก้ว บุญยืน ในขณะดำรงตำแหน่งเป็นผู้ใหญ่บ้าน ได้นำชาวบ้านมาตัดต้นไม้ยางที่ท่านปลูกไว้ เพื่อเลื่อยทำเป็นโต๊ะนั่งนักเรียนในโรงเรียนก่อนที่จะตัดได้ให้ข้าพเจ้าไปบอกเทวดาอารักษ์วัดก่อนลงมือตัด ผลปรากฏภายหลังทำให้ นายสิงห์แก้ว บุญยืน เป็นไข้หนักไม่รู้สึกตัว เพ้อ ละเมอต่างๆ ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลก็ไม่หาย ในคืนวันหนึ่งมีญาติๆ ไปนอนบนบ้านหลายคน นายสิงห์แก้ว บุญยืนมีอาการกระวนกระวายมาก จึงได้บนบานสานกล่าว ญาติคนหนึ่งที่นอนเฝ้าอาการอยู่เหลือบไปเห็นตุ๊เจ้าองค์หนึ่งนุ่งห่มผ้าสีกลักเดินผ่านบนหัวนอนของเขาไป จึงได้ถามญาติด้วยกันว่า เห็นตุ๊เจ้าเดินลงบ้านนี้ไปรึเปล่า ต่างคนก็ต่างบอกว่าไม่เห็นมี ญาติผู้ที่เห็นก็ยังยืนยันว่ามี และเดินลงไปเดี๋ยวนี้ ทุกคนจึงพากันแปลกใจและพากันไปหาเจ้าทรง เจ้าทรงบอกให้ไปหากล้าไม้ยางมาปลูกแทนต้นเก่า มิฉะนั้นจะต้องตายแน่นอน ญาติๆจึงพากันไปหากล้าไม้ยางมาทำพิธีปลูกแทน จากนั้นนางสิงห์แก้วก็ได้หายเป็นปกติ มีชีวิตตราบจนปัจจุบันนี้

 

          อีกอันหนึ่งที่ท่านเล่าไว้ที่พอจะเชื่อถือได้ คือ ท่าเกวียนยังมีสิ่งสำคัญ คือ ม่วงหงก ,ครกหิน, แผ่นถิ่นดัง มีต้นมะม่วงใหญ่ต้นหนึ่งขึ้นบริเวณวัดด้านเหนือ มีกิ่งก้านสาขาร่มเงาใหญ่มาก มีกิ่งมะม่วงกิ่งหนึ่งสูง ส่งขึ้นไปแล้วคดเลี้ยวลงมาเกือบถึงดินแต่ตอนปลายกิ่งกลับชูสูงส่งขึ้นไปอีก คล้ายกับ คันไถ แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีให้เห็นเพราะต้นมะม่วงนั้นแก่ตายไป ส่วนที่ว่าครกหินจะมีผาลาดยาว บนผา มีหินเป็นรูอย่างครกพริกมีประมาณสิบกว่าแห่ง เดี๋ยวนี้เป็นบริเวณไร่นาของหมู่บ้านสหกรณ์นิคมไปแล้ว ชาวบ้านได้เอารถแทรกเตอร์เกลดถูไปไม่เห็นร่องรอยแล้ว ที่ว่าแผ่นดินดังขณะนี้ยังมีเสียงดังขณะนี้ยังมีเสียงดังอยู่ คือถ้าเราเดินกระทืบเท้าจะได้ยินเสียงดังคล้ายว่าจะมีถ้ำอยู่ด้านล่างพื้นดิน สำหรับสถานที่แห่งนี้มีผีคอยเฝ้าอยู่ ซึ่งดุร้ายมาก ใครจะทำในสิ่งไม่ดีในบริเวณนี้ไม่ได้ ครั้งหนึ่ง หมู่บ้านสหกรณ์ได้เอารถแบบตีนตะขาบมาเกลดบริเวณแห่งนั้น เพื่ออยากรู้ว่ามีอะไรในพื้นที่นั้น รถไถได้ติดหล่มออกไม่ได้ แม้จะพยายามลากดึงขึ้นมาก็ไม่ออก จึงพากันบนบานสารกล่าวและบวงสรวง รถจึงออกมาได้โดยง่าย โดยไม่ต้องชักลาก จากเหตุการณ์ครั้งนั้นผีที่อยู่บริเวณนั้นก็ดุร้ายมากบางครั้งก็อาระวาดเบียดเบียนชาวบ้าน ชาวบ้านจึงให้ความเคารพนับถือ และตั้งหอผี หรือศาล ให้ตราบเท่าทุกวันนี้ และจำเป็นจะต้องนับถือ บวงสรวงกันเป็นประจำ
ท่าเกวียนมีอีกอย่างหนึ่งที่ท่านเล่าสืบๆกันมาที่เราพิสูจน์ได้ในปัจจุบันนี้ คือ ท่านเล่าไว้ว่ามีครูบาองค์หนึ่ง เป็น ครูบาป่า ท่านพักอยู่ที่วัดป่า ปัจจุบันเป็นที่ตั้งสถาบันเทคโนโลยีแม่โจ้ ครูบาองค์นี้บำเพ็ญบารมีเคร่งนัก เดินผ่านบ้านท่าเกวียนเป็นประจำเพื่อบิณฑบาต ท่านได้เดินข้ามขัวไม้หรือสะพานไม้ที่ชาวบ้านทำไว้ วันหนึ่งมีคนยกสะพานไม้ออก เมื่อท่านเดินมาถึงท่านเห็นว่ามีคนเอาไม้ออก ท่านก็ได้พูดออกไปว่า “ผู้ใดปดขัวนี้ออกขอให้มันผู้นั้นหมด ใหม่ ไปตลอดชาติเท่านั้น” แล้วท่านก็เดินข้ามน้ำไปโดยที่จีวรไม่เปียก หลังจากนั้นบ้านท่าเกวียนเกิดมีสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นคือ คนในตระกูลหนึ่งเป็นคนหัวล้านสืบๆ ตระกูลกันมาจนถึงทุกวันนี้ มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ มีทั้งหญิงและชาย สันนิษฐานได้ว่าคนที่ยกสะพานไม้ออกนั้นต้องเป็นคนในหมู่บ้านท่าเกวียนแน่นอนเพราะทั้ง อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน หมู่บ้านท่าเกวียนมีคนหัวล้านมากที่สุด หลายคนย้ายถิ่นฐานไปอยู่ฝาง เชียงราย ล้วนเป็นคนไปจากบ้านท่าเกวียนทั้งหมด และหากจะดูตามข้อสันนิษฐานนี้ พอจะรู้ได้ว่าคนในตระกูลใดเป็นคนยกสะพานไม้ออกเพราะว่าหมู่บ้านท่าเกวียนส่วนใหญ่แล้วมีอยู่ตระกูลดั้งเดิม อยู่3 ตระกูลเก่งกาจ ตระกูลบุญก้ำ ตระกูลขยัน คนที่หัวล้านแต่เดิมจะมาแต่จากตระกูลเก่งกาจเป็นส่วนใหญ่ แต่ปัจจุบันแพร่ไปหมดเพราะมีการสมรสข้ามตระกูลไป
ประวัติความเป็นมาของท่าเกวียนนี้ข้าพเจ้าได้ค้นคว้าสอบถามท่านผู้เฒ่าผู้แก่ครูบาอาจารย์ที่ท่านมีอาวุโสสูง และอายุมาก ที่ท่านได้จากผู้อื่นเล่าก็มี ได้ประสพพบเห็นมาด้วยตนเองบ้างก็มี ข้าพเจ้าจึงได้พยายามเรียบเรียงเขียนไว้เผื่อวันหลังเด็กๆ อยากใคร่ศึกษาค้นคว้า ก็พอที่จะเป็นแนวทางศึกษาได้ เพราะที่ผมเล่ามานี้ส่วนใหญ่พอจะพิสูจน์ได้ว่ามีเป็นความจริง